หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



6.จริยธรรมและความปลอดภัย
ประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรม  คำจำกัดความของจริยธรรมมีอยู่มากมาย เช่น “หลักของศีลธรรมในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ” “มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในวิชาชีพที่ได้รับ” “ข้อตกลงกันในหมู่ประชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูกและหลีกเลี่ยงการกระทำสิ่งที่ผิด” หรืออาจสรุปได้ว่า จริยธรรม(Ethics) หมายถึง หลักของความถูกและความผิดที่บุคคลใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ (Laudon & Laudon, 1999:105)
"กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม"
     หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้ (Laudon & Laudon, 1999)
R.O. Mason และคณะ ได้จำแนกประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็น 4 ประเภทคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)ความเป็นเจ้าของ (Property) และความสามารถในการเข้าถึงได้ (Accessibility) (O’Brien, 1999: 675; Turban, et al., 2001: 512)


       1) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Privacy) คือ การเก็บรวบรวม การเก็บรักษา และการเผยแพร่ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล
       2) ประเด็นความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ได้แก่ ความถูกต้องแม่นยำของการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ
       3) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Property) คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูลสารสนเทศ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
       4) ประเด็นของความเข้าถึงได้ (Accessibility) คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้และการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ


การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (Privacy)
·                     ความเป็นส่วนตัวของบุคคลต้องได้ดุลกับความต้องการของสังคม
·                      สิทธิของสาธารณชนอยู่เหนือสิทธิความเป็นส่วนตัวของปัจเจกชน 

"การคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญา"
       ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร


       ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หมายถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไปมีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรกในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง 28 ปี


       สิทธิบัตร (patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
"อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)"


      อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาศัยความรู้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น โดยสามารถทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลมากกว่าการปล้นธนาคารเสียอีก นอกจากนี้อาชญากรรมประเภทนี้ยากที่จะป้องกัน และบางครั้งผู้ได้รับความเสียหายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
·       เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม
·       เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเป้าหมายของอาชญากรรม
·       การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกกฎหมาย
·       การเปลี่ยนแปลงและการทำลายข้อมูล
·       การขโมยข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือ
·       การสแกมทางคอมพิวเตอร์ (computer-related scams
"การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์"
   การควบคุมที่มีประสิทธิผลจะทำให้ระบบสารสนเทศมีความปลอดภัยและยังช่วยลดข้อผิดพลาด การฉ้อฉล และการทำลายระบบสารสนเทศที่มีการเชื่อมโยงเป็นระบบอินเทอร์เน็ตด้วย ระบบการควบคุมที่สำคัญมี 3 ประการ คือ การควบคุมระบบสารสนเทศ การควบคุมกระบวนการทำงาน และการควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก (O’Brien, 1999: 656)


การควบคุมระบบสารสนเทศ (Information System Controls)
·       การควบคุมอินพุท
·       การควบคุมการประมวลผล
·       การควบฮาร์ดแวร์ (Hardware Controls)
·       การควบคุมซอฟท์แวร์ (Software Controls)
·       การควบคุมเอาท์พุท (Output Controls)
·       การควบคุมความจำสำรอง (Storage Controls)


การควบคุมกระบวนการทำงาน (Procedural Controls)
·       การมีการทำงานที่เป็นมาตรฐาน และมีคู่มือ
·       การอนุมัติเพื่อพัฒนาระบบ
·       แผนการป้องกันการเสียหาย
·       ระบบการตรวจสอบระบบสารสนเทศ (Auditing Information Systems)


การควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น (Facility Controls)
·       ความปลอดภัยทางเครือข่าย (Network Security)
·       การแปลงรหัส (Encryption)
·       กำแพงไฟ (Fire Walls)
·       การป้องกันทางกายภาพ (Physical Protection Controls)
·       การควบคุมด้านชีวภาพ (Biometric Control)
·       การควบคุมความล้มเหลวของระบบ (Computer Failure Controls)



5.ซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา
ซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา
"ความหมายของซอฟต์แวร์"
       การใช้งานระบบสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน เช่น การซื้อของโดยใช้บัตรเครดิต ผู้ขายจะตรวจสอบบัตรเครดิตโดยใช้เครื่องอ่านบัตร แล้วส่งข้อมูลของบัตรเครดิตไปยังศูนย์ข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร การตรวจสอบจะกระทำกับฐานข้อมูลกลาง โดยมีกลไกหรือเงื่อนไขของการตรวจสอบ จากนั้นจึงให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธบัตรเครดิตใบนั้น การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปโดยอัตโนมัติตามคำสั่งซอฟต์แวร์
       ทำนองเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บเงินจะใช้เครื่องกราดตรวจอ่านรหัสแท่งบนสินค้าทำให้บนจอภาพปรากฏชื่อสินค้า รหัสสินค้า และราคา ในการดำเนินการนี้ต้องใช้ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานได้
      ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นลำดับขั้นตอนของการทำงาน ชุดคำสั่งเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์อ่านชุดคำสั่งแล้วทำงานตาม ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จัดทำขึ้น และคอมพิวเตอร์จะทำงานตามคุณลักษณะของซอฟต์แวร์ที่วางไว้แล้วเท่านั้น
       ชนิดของซอฟต์แวร์แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ คือ
"ซอฟต์แวร์ระบบ"


       คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบคอมพิวเตอร์ จัดการอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก การรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ การแสดงผลบนจอภาพ การนำข้อมูลออกไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูล ซอฟต์แวร์ระบบจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ ซอฟต์แวร์ระบบที่รู้จักกันดี คือ ระบบปฏิบัติการ (operating system) เช่น เอ็มเอสดอส ยูนิกซ์ โอเอสทู วินโดวส์ ลีนุกซ์ เป็นต้น คอมพิวเตอร์จะทำงานไม่ได้หากปราศจากระบบปฏิบัติการ ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ เราสามารถสั่งงานผ่านระบบปฏิบัติการให้คอมพิวเตอร์คำนวณ ให้แสดงภาพ ให้พิมพ์ข้อความหรือผลลัพธ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์ นอกจากนั้นคอมพิวเตอร์ยังทำหน้าที่ประสานงานระหว่างโปรแกรมต่างๆ กับตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ประยุกต์ไม่ว่าประเภทใดล้วนแต่ต้องทำงานบนซอฟต์แวร์ระบบทั้งสิ้น
       เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะไม่ทำงาน ถ้าไม่มีระบบปฏิบัติการ การเริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกครั้งจึงต้องบรรจุ (load) ระบบปฏิบัติการเข้าไว้ในหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะให้เครื่องเริ่มทำงานอย่างอื่น
"ซอฟต์แวร์ประยุกต์"
       ซอฟต์แวร์ประยุกต์ คือซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น เพื่อประยุกต์กับงานที่ผู้ใช้ต้องการ เช่นซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์จัดเก็บภาษี ซอฟต์แวร์สินค้าคงคลัง ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล เป็นต้น
       การทำงานใดๆ โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ จำเป็นต้องทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมของซอฟต์แวร์ระบบด้วย ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำต้องทำงานภายใต้ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเอ็มเอสดอสหรือวินโดวส์ เป็นต้น
       ซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้รับความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายในทุกวงการ ความนิยมส่วนหนึ่งมาจาก ขีดความสามารถของซอฟต์แวร์ประยุกต์นั้นๆ เพราะซอฟต์แวร์ที่ผลิตออกจำหน่าย ต่างพยายามแข่งขันกันหลายๆ ด้าน เช่น เรียนรู้และใช้งานได้ง่าย สนับสนุนให้ใช้กับเครื่องพิมพ์ได้ดี มีคู่มือการใช้ซอฟต์แวร์ที่อ่านเข้าใจง่าย ให้วิธีหรือขั้นตอนที่อธิบายไว้อย่างชัดเจน และมีระบบโอนย้ายข้อมูลเข้าออกกับซอฟต์แวร์อื่นได้ง่าย
       ซอฟต์แวร์ประยุกต์มีอยู่มากมาย อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ คือ ซอฟต์แวร์ใช้เฉพาะทางและซอฟต์แวร์สำเร็จ
"ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา"
            เมื่อพูดถึงซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ (Open Source Software) มักจะนึกถึงระบบปฏิบัติการอย่าง Linux ไม่ว่าจะเป็น Ubuntu, CentOS, LinuxSIS หรือไม่ก็ OpenOffice.org ที่มีการรณรงค์ให้ใช้ทดแทนโปรแกรมจัดการงานสำนักงานอย่าง Microsoft Office จริงๆ แล้วซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สมีมากกว่าที่ใช้กัน หรือพูดถึงกันตอนนี้เยอะมาก สามารถจัดกลุ่มได้ตามลักษณะความต้องการ หรือลักษณะงาน บทความนี้ขอนำเสนอซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส กลุ่มเพิ่มทักษะการเรียนรู้ ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ได้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง และ/หรือจะประยุกต์ใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนในรายวิชา/กลุ่มสาระการเรียน รู้ต่างๆ โดยซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่แนะนำสามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows
"NASA WORLD WIND"


       NASA WORLD WIND เป็นซอฟต์แวร์แสดงภูมิสารสนเทศของโลกในลักษณะภาพ 3 มิติ โดยการเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลของ NASA และเครือข่าย ในปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเพื่อการศึกษาภูมิ สารสนเทศที่น่าสนใจมากซอฟต์แวร์หนึ่ง และมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากเพราะเป็นข้อมูลจากหน่วยงานระดับโลกอย่าง องค์การบริหารอวกาศของอเมริกาดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่เว็บไซต์ HTTP://WORLDWIND.ARC.NASA.GOV/INDEX.HTML


"STELLARIUM"   


       ซอฟต์แวร์สุดยอดในการศึกษาท้องฟ้า การดูดาว นับเป็นสื่อเพื่อการจัดการห้องเรียนเสมือนจริงสำหรับศึกษาท้องฟ้าและดวงดาว สามารถระบุตำแหน่งต่างๆ เพื่อเป็นฐานของการดูดาว ศึกษาท้องฟ้าได้ง่ายๆ ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ http://www.stellarium.org/
"TUX4KIDS"


       Tux4Kids เป็นชุดซอฟต์แวร์สำหรับเด็กน้อย ออกแบบได้น่ารักด้วยตัวการ์ตูนนกเพนกวิน
ประกอบด้วยโปรแกรมสอนคณิตศาสตร์ (TuxMath) โปรแกรมสร้างสรรค์งานกราฟิก (TuxPaint) และโปรแกรมฝึกพิมพ์ดีด (TuxTyping) ดาวน์โหลดได้ที่http://tux4kids.alioth.debian.org/





4.อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา
อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา
1. การใช้เป็นระบบสื่อสารส่วนบุคคล บนอินเตอร์เน็ตมีอิเล็กทรอนิกส์เมล์หรือเรียกย่อๆ ว่า อีเมล์ (E-mail) เป็นระบบที่ทำให้การสื่อสารระหว่างกันเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ละบุคคลจะมีตู้จดหมายเป็นของตัวเองสามารถส่งข้อความถึงกันผ่านในระบบนี้โดยส่งไปยังตู้จดหมายของกันและกันนอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้ทางการศึกษาได้
2. ระบบข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต มีลักษณะเหมือนกระดานข่าวที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ทุกคนสามารถเปิดกระดานข่าวที่ตนเองสนใจหรือสามารถส่งข่าวสารผ่านกลุ่มข่าวบนกระดานนี้เพื่อโต้ตอบข่าวสารกันได้
3. การใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตมีแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน และติดต่อกับห้องสมุดทั่วโลกทำให้การค้นหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหมายถึงสามารถค้นหาและได้มาซึ่งข้อมูลโดยใช้เวลาอันสั้นโดยเฉพาะบนอินเตอร์เน็ตจะมีคำหลัก (Index) ไว้ให้สำหรับการสืบค้นที่รวดเร็ว
4. ฐานข้อมูลเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Wed) เป็นฐานข้อมูลแบบเอกสาร (Hypertext) และแบบมีรูปภาพ (Hypermedia) จนมาปัจจุบัน ฐานข้อมูลเหล่านี้ได้พัฒนาขึ้นจนเป็นแบบมัลติมีเดีย (Multimedia) ซึ่งมีทั้งข้อความ รูปภาพ วีดิทัศน์ และเสียงผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสืบค้นกันได้จากที่ต่างๆ ทั่วโลก
5. การพูดคุยแบบโต้ตอบหรือคุยเป็นกลุ่ม บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อกันและพูดคุยกันได้ด้วยเวลาจริง ผู้พูดสามารถพิมพ์ข้อความโต้ตอบกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนเครือข่าย
6. การส่งถ่ายข้อมูลระหว่างกันแบบ FTP (Files Transfer Protocol) คือสามารถที่จะโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลระหว่างกันเป็นจำนวนมากๆ ได้ โดยส่งผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งทำให้สะดวกต่อการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องเดินทางและข่าวสารถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7. การใช้ทรัพยากรที่ห่างไกลกัน ผู้เรียนอาจเรียนอยู่ที่บ้านและเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นทรัพยากรการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยได้ และยังสามารถขอใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในต่างมาวิทยาลัยได้
การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษามีความหมายครอบคลุมกิจกรรมด้านการศึกษาที่ถูกวางรูปแบบโดยครูผู้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากรูปแบบการสื่อสารและการควบคุมนักเรียนทางไกลแบบ Online มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากการเรียนการสอนในห้องเรียนซึ่งทำกันเป็นปกติ ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตจึงประกอบด้วยวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่
1. การสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมกับระดับผู้เรียน
2. การเสริมทักษะและความรู้เพื่อให้ครูสามารถดำเนินการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การกำหนดเป้าหมายการศึกษาเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน
นอกจากนี้การศึกษาที่ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถแยกได้เป็น 2 ประเด็น คือ
1. การศึกษาระบบเครือข่าย หมายถึง ข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสารถูกมองว่าเป็นแขนงวิชาหนึ่งในการกระบวนการเรียนการสอน
2. การใช้เครือข่ายเพื่อการศึกษา หมายถึง ข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสารถูกใช้เป็นเครื่องมือและองค์ประกอบในระบบการศึกษา เช่น การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต
ผู้นำโครงการทางการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตต้องมีความรู้และความสามารถจัดให้มีการใช้อินเทอร์เน็ตขั้นพื้นฐานกับสมาชิกในกลุ่มได้ โดยมีการปรับปรุงการบริหาร การร่วมกันใช้ข้อมูล การจัดการของกลุ่มการเรียน และการหาเครือข่าย ด้วยการใช้คุณสมบัติต่างๆ ของเครื่องมือที่มีอยู่แล้วจัดให้เป็นแหล่งความรู้และนำไปสู่ความสำเร็จของกระบวนการศึกษา


3.เครือข่ายสังคมออนไลน์
 เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking Website)
เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking Website) เป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีและเว็บรูปแบบใหม่นั่นคือ WEB 2.0 ผู้ใช้สามารถเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล/ความเป็นตัวตน (Profile) เขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่าน Blog หรือแสดงรูปภาพเพื่อให้เพื่อนๆ ได้ รับข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Update) ของตนรวมถึงการเปิดโอกาสให้มีการรู้จักกันผ่านเพื่อนของเพื่อน ซึ่งก็คือการใช้ networking ของเพื่อน เพื่อทำความรู้จักกับบุคคลอื่นนั่นเอง นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถเล่นเกมต่างๆ กับเพื่อนโดยส่งข้อความถึงกันได้ในเวลาเดียวกัน ผู้ใช้และ เพื่อนๆ จึงมีช่องทางในการติดต่อสื่อสารกันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของตนเองว่า ต้องการเผยแพร่ข้อมูล สู่สาธารณะ หรือจำกัดสิทธิ์เฉพาะบุคคลที่อยู่ในสังคมเสมือนของตน ตัวอย่างของเว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่  MySpace, Facebook และ Hi5


2.บทบาทของคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
         ในปัจจุบันนี้ได้มีการนำเอาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ เช่น ด้านการบริหาร ด้านการวางแผนหลักสูตรด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านห้องสมุด การแนะแนวและบริการ การทดสอบและวัดผลประยุกต์ใช้ในงานวิจัย สื่อการสอน ด้านการจัดการสอน และด้านช่วยสอนเป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะด้านช่วยสอนเท่านั้นคอมพิวเตอร์ได้ถูกนำเข้ามาใช้ช่วยในการเรียนและการสอนอย่างจริงจัง
บทบาทด้านการเรียนการสอน
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนไม่ต้องเสียเวลากับการงานบริหาร ครูผู้สอนจะได้มีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยและมีเวลาให้กับนักเรียน มากขึ้น เช่น การจัดเลือกข้อสอบ การตรวจและให้คะแนนและวิเคราะห์ข้อสอบ รวมถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้ครูผู้สอนสามารถ วิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้เรียนได้แก่ การจัดทำสื่อการสอน , การจัดการเรียนการสอนนักเรียน และรูปแบบ วิธีการสอน โดยการนำ คอมพิวเตอร์มาช่วย เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI. (Computer Assisted Instruction) หรือ การสอนแบบออนไลน์ ผ่านเวบไซท์ต่างๆ
บทบาทด้านการบริหาร
การใช้คอมพิวเตอร์ในการบริหาร นับเป็นจุดเริ่มแรกของการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในวงการศึกษา สามารถแยกเป็น 2 ด้าน คือ
         1.ในด้านของผู้บริหารสถาบันการศึกษา คอมพิวเตอร์สามารถช่วยผู้บริหารสถาบันการศึกษาในการทำงานด้านต่างๆ เช่น การบัญชี การเก็บบันทึกข้อมูล และการควบคุมทรัพย์สินของสถานบัน เป็นต้น
         2.ในด้านการบริหารงานของครูผู้สอน เนื่องจากครูผู้สอนย่อมต้องมีกิจกรรมในเรื่องต่างๆ มากมายนอกเหนือไปจากงานด้านสอนปกติ ได้แก่ งานด้านการเขียน เช่น การเขียนรายงาน การเตรียมโน้ตย่อบทเรียน การเตรียมแบบทดสอบ งานด้านการคิดคำนวณ เช่น การตรวจและการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน และงานด้านการเตรียมบทเรียนและการจัดทรัพยากรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น งานเหล่านี้ครูผู้สอนสามารถจะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานและเก็บข้อมูลได้ เช่น การใช้โปรแกรมประมวลคำเพื่อพิมพ์เอกสารประกอบการสอนโน้ตย่อบทเรียนเพื่อแจกแก่ผู้เรียนหรือแบบทดสอบต่างๆ เพื่อบันทึกไว้สำหรับเรียกใช้ในครั้งๆต่อไปได้ หรือการใช้โปรแกรมในการคิดคำนวณคะแนนสอบและเกรด เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การทำงานเหล่านี้เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและถูกต้อง
ประโยชน์
              ๑. คอมพิวเตอร์สามารถเปลี่ยนแปลงจุดเริ่มต้นและจังหวะช้าเร็วของการเรียนการสอน ให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคนและทุกๆ คนได้ทันทีทันใด
              ๒. งานซ้ำซากที่ครูไม่อยากทำและไม่น่าจะต้องทำ เช่น จัดทำตารางสอบ รวมคะแนนสอบ จัดลำดับคะแนน คำนวณหาคะแนนเฉลี่ย ครูก็จะไม่ต้องทำ เพราะให้คอมพิวเตอร์ทำแทนได้
              ๓. ครูมีเวลาเอาใจใส่ ช่วยแนะนำแก้ปัญหาด้านจิตใจ ด้านครอบครัว ให้เด็กได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
              ๔. คอมพิวเตอร์สามารถเก็บประวัติผลการเรียนของเด็กทุกคน  ทุกวิชา ได้อย่างละเอียดมากกว่าที่ครูจะจำได้หมด และคอมพิวเตอร์สามารถเสนอรายงานด้านต่างๆเกี่ยวกับเด็กแต่ละคนให้ครูได้ใช้ประกอบการตัดสินใจได้รวดเร็วทันใจกว่าที่ครูจะให้เลขานุการช่วยค้น หรือที่ครูจะลงมือทำประวัติเหล่านั้นด้วยตนเอง
              ๕. เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตนสนใจได้ แม้ว่าโรงเรียนที่เด็กอยู่นั้น จะไม่มีครูที่มีความรู้ความสามารถจะสอนวิชานั้นๆ ได้
              ๖. เราสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้  ได้ง่ายกว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของครู เพราะเครื่องไม่มีความรู้สึกว่าจะเสียเหลี่ยมที่จะต้องยอมรับว่า  อะไรที่เคยทำอยู่แล้วนั้นไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
              ๗. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนการสอนอาจจะทำให้ทั้งเด็กและครูเข้าใจความเกี่ยวข้องของวิชาต่างๆมากขึ้น
              ๘. การให้เด็กได้รู้จักการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังอยู่ในโรงเรียน  จะเป็นการเตรียมให้เด็กไม่กลัวการใช้คอมพิวเตอร์เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว  เพราะในอนาคตนั้นงานทางด้านรัฐบาลและเอกชนก็จะต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น
แนวโน้มในอนาคต
ในด้านการศึกษาเทคโนโลยีรวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ ถูกพัฒนาขึ้น และกำลังทำการศึกษาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมต่อการใช้งานในอนาคต โครงการพัฒนาความรู้ต่าง ๆ เพื่อต่อยอดทางด้านการศึกษาให้ก้าวไกล เหล่านี้จะมีผลไม่เพียงต้องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์การและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมส่วนรวมอีกด้วย เราจะเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราต้องพยายามติดตาม ศึกษา และทำความเข้าใจแนวทางและพัฒนาการที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม






1.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
        คอมพิวเตอร์คืออะไร >>  คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่เป็น ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายต่าง ๆ โดยสามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable)
1. คุณลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์
ความจำ (Storage) เป็นความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมาก และเป็นระยะเวลานาน
แบ่งได้ 2 ระบบคือ 2.1 หน่วยความจำหลัก (Primary Storage) 2.2 หน่วยความจำรอง (Secondary Storage)
ความเร็ว (Speed) เป็นความสามารถในการประมวลผลข้อมูลภายในเวลาที่สั้นที่สุด พิจารณาจากความสามารถในการประมวลผลซ้ำๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เรียกว่า "ความถี่ (Frequency)" โดยนับความถี่เป็น "จำนวนคำสั่ง" หรือ "จำนวนครั้ง" หรือ "จำนวนรอบ" ในหนึ่งนาที และเรียกหน่วยนี้ว่า Hz
การปฏิบัติงานอัตโนมัติ (Self Acting) เป็นความสามารถ ในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับคำสั่ง ได้อย่างถูกต้อง และต่อเนื่อง โดยอัตโนมัติ ตามคำสั่งและขั้นตอนที่นักคอมพิวเตอร์ (มนุษย์) ได้กำหนดไว้
ความน่าเชื่อถือ (Sure) เป็นความสามารถในการประมวลผลที่ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง โดยนับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่ง และข้อมูล ที่ได้กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์     
2. องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
2.1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้างที่เกี่ยวข้อง 
มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ
หน่วยรับข้อมูล (Input Unit),
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)
หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
หน่วยแสดงผลลัพธ์ (Output Unit)
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)
      2.2 ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรม ที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงานต่างๆ ตามต้องการ
ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมนั้นจะเขียนมาจากภาษาคอมพิวเตอร์ จะมีโปรแกรมเมอร์ หรือนักเขียนโปรแกรม เป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้น เป็นซอฟต์แวร์แบบต่างๆ ขึ้นมา  แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)                 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
2.3 บุคคลากร หรือ ผู้ใช้ (Peopleware)
บุคลากรหรือผู้ใช้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้งานเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์แล้ว จะทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ สามารถแบ่งกลุ่มบุคลากรออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป   2.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ   3.กลุ่มผู้บริหาร
2.4 ข้อมูลและสารสนเทศ (Data/Information)
ข้อมูล หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจจริง ซึ่งอาจเป็นข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น  บุคคล   สิ่งของ  สถานที่  ฯลฯ
สารสนเทศ หมายถึง สิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลไปผ่านกระบวนการหนึ่งก่อน จึงได้สารสนเทศออกมา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผ่านการเลือกให้เหมาะกับการใช้งานให้ทันเวลา
2.5 กระบวนการทำงาน (Procedure) หมายถึง ขั้นตอนที่ผู้ใช้จะต้องทำตาม เพื่อให้ได้งานเฉพาะบางอย่างจากคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนจะต้องรู้กระบวนการทำงาน พื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง
3. ประเภทของเครื่องคอมพิวเตอร์
จำแนกตามขนาดและความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้ 5 ประเภท ดังนี้
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
มินิคอมพิวเตอร์  (Minicomputer)
ไมโครคอมพิวเตอร์  (Microcomputer)
คอมพิวเตอร์มือถือ (Handheld Computer)
4. คอมพิวเตอร์ยุคใหม่
เดสก์ท็อป (Desktop)
โน๊ตบุ๊ค (Notebook)
เดสก์โน๊ต (Desknote)
แท็บเล็ตพีซี (Tablet PC)
พีดีเอ (PDA-Personal Digital Assistants) แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ
 ปาล์ม (Palm) พ็อกเก็ตพีซี (Pocket PC)
สมาร์ทโฟน (Smart Phone)